พระราชประวัติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
พระราชประวัติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ ๓ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ได้รับพระราชทานพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์
ด้วยเหตุที่ทรงบำเพ็ญพระราชกิจจานุกิจนานัปการอันเป็นประโยชน์แก่แผ่นดินและราษฎร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สถาปนาพระราชอิสริยยศ และพระราชอิสริยศักดิ์ เป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐ และจากพระวิริยะอุตสาหะในการทรงศึกษาหาความรู้และบำเพ็ญพระราชกิจนานัปการ พระเกียรติคุณ เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง ทั้งในราชอาณาจักร และนานาชาติ จึงทรงรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แห่งราชอาณาจักรไทย และทรงรับการทูลเกล้า ฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
การศึกษา
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเริ่มต้นการศึกษาระดับอนุบาล เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑ ณ โรงเรียนจิตรลดา ในเขตพระราชฐาน พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต โดยทรงศึกษา ต่อเนื่องไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา ตลอดระยะเวลาที่ทรงศึกษา ทรงเอาพระทัยใส่ในการเรียน โปรดการอ่าน และการศึกษาวรรณคดี ทั้งของไทยและต่างประเทศ ทรงเริ่มแต่งคำประพันธ์ต่าง ๆ ทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง ตั้งแต่ยังทรงศึกษา ในชั้นประถมศึกษา โปรดการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน ทั้งด้านกีฬา ดนตรี บันเทิง และกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษา ประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย ในแผนกศิลปะ จากโรงเรียนจิตรลดา เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๖ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสอบเข้าศึกษาต่อ ในระดับอุดมศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จะมีพระราชภารกิจ โดยเสด็จพระราชดำเนิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ไปเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ แต่ก็ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ในการเรียนอย่างยิ่ง และยังทรงร่วม กิจกรรมของคณะ และของมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับนิสิตทั่วไป ในปีการศึกษา ๒๕๑๙ ทรงสำเร็จการศึกษา และทรงเข้ารับพระราชทานปริญญา อักษรศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง สาขาวิชาประวัติศาสตร์
ในพุทธศักราช ๒๕๒๐ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสมัครเข้าศึกษาต่อ ระดับมหาบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกันทั้งสองแห่ง ทรงสำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจารึกภาษาตะวันออก จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ในปีการศึกษา ๒๕๒๒ หลังจากนั้น ทรงสำเร็จการศึกษา อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาบาลี - สันสกฤต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีการศึกษา ๒๕๒๔ ต่อมา ด้วยความสนพระทัยงานด้านการพัฒนา โดยอาศัยหลักวิชาการศึกษา หรือการเรียนรู้เป็นแกน จึงทรงสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับดุษฎีบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทรงสำเร็จการศึกษา และรับพระราชทานปริญญา การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนศึกษาศาสตร์ในปีการศึกษา ๒๕๒๙
หลักคิดในการใช้การศึกษาเป็นปัจจัยหลักในการสร้าง และพัฒนาความรู้ ความคิดของประชาชน และเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน และสังคม ที่ทรงได้รับจากการศึกษา ในระดับดุษฎีบัณฑิต ผนวกกับประสบการณ์ ที่ทรงเรียนรู้ จากการโดยเสด็จพระราชดำเนิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเป็นพื้นฐานความรู้ที่แข็งแกร่ง ในการทรงงานพัฒนา ของพระองค์เอง ในเวลาต่อมา จวบจนปัจจุบัน
นอกเหนือจากการศึกษาในระบบ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ยังสนพระทัยศึกษาเพิ่มเติม ดูงาน ประชุมสัมมนา และฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ ในวิชาการด้านอื่น ๆ อีกหลายด้าน เช่น ภูมิศาสตร์กายภาพ อุทกศาสตร์ พฤกษศาสตร์ การจัดการทรัพยากรดินและน้ำ รีโมตเซนซิ่ง ระบบภูมิสารสนเทศ แผนที่ โภชนาการ เป็นต้น ด้วยมีพระราชประสงค์ ที่จะนำความรู้ที่ได้จากวิชาการเหล่านี้ ไปประยุกต์ใช้ในการทรงงานพัฒนาชุมชน และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร
การรับราชการ
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาแล้ว ในพุทธศักราช ๒๕๒๓ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเข้ารับราชการเป็นอาจารย์กองวิชากฎหมายและสังคมศาสตร์ ส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ทรงสอนวิชาประวัติศาสตร์ไทยและสังคมวิทยา ต่อมาในพุทธศักราช ๒๕๓๐ ได้มีการตั้งกองวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระยศ พันเอก ทรงดำรงตำแหน่งหัวหน้ากอง (ซึ่งต่อมาได้มีการขยายตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองในพุทธศักราช ๒๕๓๒ พร้อมกับกองอื่น ๆ) ทรงเป็นผู้อำนวยการกองวิชาประวัติศาสตร์พระองค์แรกจนถึงปัจจุบัน มีพระราชภารกิจ ทั้งการบริหาร การสอน และงานวิชาการอื่น ๆ ต่อมา ทรงได้รับพระราชทานพระยศ พลเอก ในพุทธศักราช ๒๕๓๙ และทรงได้รับโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ (อัตราจอมพล) ในพุทธศักราช ๒๕๔๓ นอกจากนี้ ยังได้ทรงรับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษบรรยายวิชาการ ณ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยศิลปากร
พระราชกิจ
นอกเหนือจากพระราชภารกิจในหน้าที่ราชการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ ครอบคลุมงานสำคัญ ๆ อันเป็นประโยชน์หลักของบ้านเมือง เกือบทุกด้าน และทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย ให้ทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกิจที่ทรงสืบสาน ต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ มอบหมาย โดยเฉพาะการทรงงาน ด้านการบริหารองค์การ และมูลนิธิ เพื่อสาธารณกุศล ทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา ประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย รวมทั้งการเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ และการปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในโอกาสต่าง ๆ เช่น การพระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่าง ๆ เฝ้า ฯ การพระราชทานปริญญาบัตร การถวายผ้าพระกฐิน เป็นต้น
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีทรงจัดตั้งโครงการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนผู้ยากไร้ในชนบท โดยเฉพาะการส่งเสริมสุขภาพอนามัย และแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการ ทรงเห็นว่าเด็กจะเรียนหนังสือไม่ได้ ถ้าท้องหิว หรือเจ็บป่วย จึงทรงริเริ่มโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๒๓ ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงพระราชทานพระราชทรัพย์ให้ก่อสร้างโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ศูนย์การเรียนชุมชนสำหรับชาวไทยภูเขา ห้องเรียนเคลื่อนที่ ทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นค่าตอบแทนครูผู้สอน และทรงจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนพระราชทาน เพื่อให้เยาวชนมีโอกาสได้รับการศึกษาที่เหมาะสม จะได้มีความสามารถในการพึ่งตนเอง และเป็นที่พึ่งของครอบครัวได้ในอนาคต ทรงติดตามการดำเนินงาน โครงการตามพระราชดำริอย่างใกล้ชิด และเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในโครงการ ด้วยพระองค์เองเสมอ
จากการที่มีประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ทูลเกล้า ฯ ถวายเงินเพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล หรือสมทบทุนดำเนินงานโครงการพัฒนาต่าง ๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นำเงินที่มีผู้ทูลเกล้า ฯ ถวายดังกล่าวมาจัดตั้งเป็นกองทุน ทุนการกุศลสมเด็จพระเทพ ฯ เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนผู้ทุกข์ยากเดือดร้อน หรือเพื่อการสาธารณประโยชน์อื่น ๆ
นอกเหนือจากงานพัฒนา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สนพระทัยงานศิลปวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างยิ่ง มีพระราชดำริว่า ควรจะมีการถ่ายทอดงานด้านวัฒนธรรมไปสู่เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ผ่านกระบวนการจัดการศึกษาอบรม ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้เรียนรู้ ตระหนักความสำคัญ รักและผูกพันในศิลปวัฒนธรรมของชาติ สามารถสืบทอดเพื่อการอนุรักษ์และอาจพัฒนาเป็นอาชีพได้ ทรงสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์และสืบทอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทย พระอุตสาหะในการปฏิบัติกิจการอันเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองและประชาชน เป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรทั่วหน้า จึงทรงได้รับการทูลเกล้า ฯ ถวายรางวัลเกียรติยศ พระเกียรติคุณ ตำแหน่งเกียรติยศ และปริญญากิตติมศักดิ์ จากสถาบัน หน่วยงานและองค์กร ทั้งในราชอาณาจักรและต่างประเทศจำนวนมาก
พระราชจริยาวัตรที่ประชาชนทั่วไปได้เห็นประจักษ์ คือ พระเมตตาและความเอาพระทัยใส่ในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชปณิธานที่จะช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยาก เดือดร้อนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา พสกนิกรต่างยกย่อง และชื่นชมในพระบารมี ดังนั้น เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติที่ทรงมีคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองในด้านต่าง ๆ มาโดยตลอด จึงมีบุคคล หน่วยงาน สมาคม และองค์กรต่าง ๆ ทั้งในราชอาณาจักรและในต่างประเทศ ขอพระราชทานอัญเชิญพระนามาภิไธย และขอพระราชทานนาม ไปเป็นชื่อพรรณพืช และสัตว์ที่ค้นพบใหม่ในโลก รวมทั้งสถานที่ และสิ่งต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและเป็นสิริมงคลสืบไป นอกจากนี้ ยังได้ทรงพระกรุณารับสมาคม สถาบัน และองค์กรต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามแนวพระราชดำริ หรือที่มีวัตถุประสงค์ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่ทรงให้การสนับสนุน ซึ่งล้วนเป็นไปเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผู้ขาดแคลน หรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ไว้ในพระราชูปถัมภ์
งานอดิเรก
ยามที่ทรงว่างจากพระราชกิจ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถโดยทรงมี งานอดิเรกที่สนพระทัย หลายประเภท เช่น ดนตรี งานศิลป์ กีฬา งานสะสม การทัศนศึกษา การอ่านและสะสมหนังสือ ทรงมีหอสมุดส่วนพระองค์ที่จัดเก็บหนังสือหลากหลายประเภท ทั้งที่ทรงเลือกซื้อด้วยพระองค์เองและที่มีผู้ทูลเกล้า ฯ ถวาย และดังเช่นเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ทรงมีพระอัจฉริยภาพในการเรียงร้อยอักษร จึงทรงพระราชนิพนธ์ร้อยแก้วและร้อยกรองไว้เป็นจำนวนมาก มีทั้งประเภทบทความ เรื่องสั้น ความเรียง คำนำ บทกวี บทเพลง เรื่องแปล และสารคดี เป็นต้น รวมทั้งพระราชนิพนธ์ชุดเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือน “บันทึกการเดินทาง” ที่ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน
ในปัจจุบัน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ยังสนพระทัยศึกษาและฝึกฝนเรียนรู้ทักษะภาษาและวิชาการต่าง ๆ อยู่มิได้ขาด เช่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาจีน เทคโนโลยีสารสนเทศ ดาราศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น พระปรีชาสามารถด้านภาษา เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วหน้า นอกจากนี้ ยังสนพระทัยเข้าร่วมการประชุม แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ทรงศึกษาดูงาน และทรงพบปะสนทนากับปราชญ์ด้านต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ เพื่อทรงรับความรู้ใหม่ ๆ และทันสมัยอยู่เสมอ
แหล่งอ้างอิง กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
พระราชดำรัส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
พระราชดำรัส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรม ราชกุมารีได้โดยเสด็จพระราช ดำเนิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นาถ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ห่างไกลการคมนาคมทั่วทุกภาค ของ ประเทศไทย ทรงพบเห็นปัญหาความ ยากจนและความทุกข์ยากลำบาก ของประชาชน ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะเด็กและ เยาวชนมักจะมีสภาพ ยากจนขาดแคลน อาหารที่จะบริโภคประกอบอนามัยสิ่ง แวดล้อมไม่ดีจึงทำให้ สุขภาพร่าง กายอ่อนแอเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย ทรงมีความห่วงใยเยาวชน เหล่านี้ซึ่งจะ เป็นกำลังที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ชาติต่อไปในอนาคต
ด้วยน้ำพระทัยเมตตาที่จะช่วยเหลือ
ด้วยน้ำพระทัยเมตตาที่จะช่วยเหลือ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและ เยาวชนเหล่านี้ ดังพระราชดำรัสว่า "อย่าง เราๆ นั้นมีโอกาสที่ดีมาก มีอาหารการ กินที่ดีทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ ได้ และยังมีโอกาสได้รับการศึกษา เล่าเรียนอย่างเต็มที่ ซึ่งนักเรียนเหล่านั้น จะได้รับการศึกษาคงจะไปไม่ ถึงระดับที่เราได้ ส่วนที่เราได้รับ ก็เป็นการพิเศษแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็น บุคคลพิเศษ ได้โอกาสดีกว่าคนอื่นก็เท่า กับประชาชนทั้งชาติสนับสนุนมากให้ทุน มา ให้ศึกษาได้ถึงระดับอุดมศึกษา ก็จะต้อง มีหน้าที่ที่จะต้องทำอะไรตอบแทน เพื่อ ให้เพื่อนร่วมชาติที่สนับสนุนเราได้มี โอกาสที่ดีขึ้นกว่านี้" (๑)
"...ในระยะ แรกเริ่มขึ้นด้วยความสนใจที่จะ พัฒนาบุคคลที่อยู่ในท้องถิ่นทุรกันดาร เมื่อ แรกเริ่มคือประมาณพฤษภาคม ๒๕๒๒ ถึง ๒๕๒๓ ประมาณ นั้นได้มีความสนใจในเรื่องนี้ แต่ว่า ยังไม่ได้มีความรู้ในหลักการ และวิธีการที่จะปฏิบัติมากนัก จึงหา โอกาสที่จะศึกษาโดยการ ขออาศัยโรง เรียนในสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน เป็น แหล่งที่ศึกษาเพราะเห็นว่าเป็นโรง เรียนในเขตท้องถิ่นที่ห่างไกลการ คมนาคม และมีภาวะที่ยากลำบากต่างๆ ใน ตอนเริ่มต้นก็มุ่งไปในแง่ที่ ว่า ทำอย่างไรเยาวชนที่อยู่วัยศึกษาเล่า เรียนอย่างนั้นจะมีสุขภาพพลานามัย แข็งแรง สมบูรณ์ พร้อมที่จะสร้างเสริมสติปัญญา เพื่อ การศึกษาและพัฒนาตนเองให้เป็น ประโยชน์ต่อภูมิลำเนาและสังคมสืบต่อ ไป..."(๒)
"...เพราะการที่ใช้โรงเรียนตำรวจตระเวน ชายแดนนั้นก็มีส่วนที่ดีอยู่ ที่ว่า จำนวนของโรงเรียนตำรวจตระเวน ชายแดนนั้นไม่มากนัก และอีกประการ หนึ่งหลักสูตรที่วางไว้ก็ไม่ตาย ตัว สามารถที่จะปรับได้ตามสภาพของ ท้องถิ่นและสภาพของนักเรียนผู้ปกครอง..." (๓)
การทำโครงการหรือการทำงานอะไรสักอย่าง
"...การทำโครงการหรือการทำงานอะไร สักอย่างต้องมีขอบเขตของงาน คือ ขอบเขตของงานมากน้อยแค่ไหน ย่อมจะขึ้นกับกำลัง เงินที่มีอยู่ กำลัง สติปัญญา กำลังความสามารถทุกๆ อย่างคือทรัพยากร ทั้งหมดที่เรามี คิดว่าทำได้แค่ ไหนตอนนั้นเท่าที่ประเมินตนเอง ทำ ได้แค่ไม่เกิน ๒๐๐ โรง..."(๔)
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรม ราชกุมารี จึงทรงมีพระราชดำริให้ ทดลองทำโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลาง วันในโรงเรียน ตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน ๓ โรงขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๓ ด้วยจุดมุ่งหมาย คือ "...เราต้องการช่วยให้นักเรียนมี สุขภาพอนามัยบริบูรณ์แข็งแรง รับประทานอาหาร ที่ถูกสุขลักษณะ และถูกตามส่วนประกอบที่ จะบำรุง ร่างกาย...(๕] ...อยากให้เป็นพืชผักหรืออุปกรณ์แล้ว ให้นักเรียนมาทำ การเกษตร ซึ่งเป็นวิธีที่ อ้อมและยากขึ้นมาอีกทางหนึ่ง อาหาร ที่จะให้ รับประทานนั้น เป็นอาหารที่ได้ มาจากผลิตผลของนักเรียนผู้รับ ประทาน เอง ซึ่งอาจจะได้ผลช้า แต่ก็เป็น วิธีหนึ่งซึ่งจะได้รับอาหาร และคิดว่า จะ ได้รับประโยชน์เป็นผลพลอยได้ที่ สำคัญ คือ ความรู้ทางด้านการเกษตร และทาง ด้านโภชนาการซึ่งจะเป็นวิชาติดตัว ไปจนนักเรียนเหล่านั้นเติบ โตขึ้นเป็น ผู้ใหญ่และได้ประกอบอาชีพทางด้านการ เกษตรกรรม วิชาการใหม่ๆ เหล่านั้นอาจจะนำมา ช่วยในการครองชีพ ได้มากทีเดียว..."(๖)
"...โดยที่ถือว่าโรงเรียนนี้เป็น ศูนย์กลางของชุมชนแห่งหนึ่งถ้าเรา สามารถทำให้ คนรุ่นใหม่ในสังคม คือ นักเรียนที่อยู่ในโรงเรียน และพวกผู้ ปกครองที่จะมาดู มาช่วย มาเห็น มีความ รู้ทางด้านเทคนิคทางการเกษตรอย่าง ใหม่ที่ทางราชการ ตั้งใจจะส่งเสริมแต่ ก็ส่งเสริมตั้งแต่ในวัยเด็กวัยเรียน เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่เขา จะได้มี การฝึกหัดให้ทำตามแบบแผนอย่าง ใหม่ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ เคยทำ มาหรือว่าจะได้มีความคุ้นเคย ในการติดต่อกับทางราชการเมื่อมีข้อ ขัดข้อง อะไรจะได้ปรึกษาหารือกันได้ อย่างง่ายขึ้นและผู้ปกครองคนใน หมู่บ้านเอง เมื่อมีปัญหาข้อข้องอะไรก็ จะได้รู้ได้แน่ใจว่าจะมีที่ที่ จะมาหาได้ ได้แก่ที่โรงเรียน ซึ่งครู จะได้เป็นส่วนที่จะช่วยเหลือได้ มาก..."(๕)เมื่อโครงการทดลอง ดำเนินการ จนเป็นผลแล้วจึงทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำเนินโครงการดัง กล่าวใน โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทั่ว ประเทศตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ เป็นต้นมา
ต่อมาทรงเห็นว่าในการพัฒนา คุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนเหล่านี้ นอกจาก จะพัฒนาด้านอาหารโภชนาการและ สุขภาพอนามัยแล้วยังมีความจำเป็น อย่างยิ่ง ที่จะต้องพัฒนาทางด้าน อื่นควบคู่ไปด้วย ได้แก่การพัฒนา ด้านความรู้การศึกษา จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโครงการพัฒนาส่ง เสริมคุณภาพการศึกษาขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๖ "...เป็นด้วยดำริริเริ่มในส่วนหนึ่ง ของกรมการฝึกหัดครู ที่จะเข้ามา ร่วม ในตอนแรกนั้น เนื่องจากโครงการเกษตรเพื่อ อาหารกลางวัน ...ต่อมาเห็นว่ากรมการ ฝึกหัดครูนั้น มีความชำนาญที่จะ สามารถ ช่วยเหลือพัฒนาบุคคลหนึ่ง ซึ่งการศึกษา อันนี้ไม่ใช่ว่าเป็นของที่จะ ทำ การไปได้ง่ายๆ โดยที่ไม่มีหลักเกณฑ์ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ต้อง อาศัยวิธีการ (๑) "จึงมาเน้นในเรื่องของ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อให้การ ศึกษาในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เป็นไปด้วยดี..." (๓)
"...เมื่อกาลผ่านมา ๑๐ ปีความเปลี่ยนแปลง ของประเทศมีมากขึ้น ถึงแม้ว่าแหล่ง ปฏิบัติ งานของเราจะอยู่ไกล แต่หลีกเลี่ยงไม่ ได้ที่จะได้รับผลกระทบ... จึงเป็น เหตุ ให้คิดว่าจะมีอะไรทำเพิ่ม เติมในส่วนของเราได้กับบุคคลใน ความอารักขาดูแล ของเรา คือด้านของความรู้ ความสามารถการศึกษา"เป็นสาเหตุให้อยาก จะลอง ตั้งโครงการอีก ๒ โครงการหลังได้แก่ การ พยายามที่จะให้นักเรียนในโรงเรียน ตำรวจ ตระเวนชายแดนของเราได้เรียนต่อใน ระดับที่สูงขึ้นกว่าระดับประถมศึกษา ซึ่งเรา คิดกันมาแต่ก่อนว่าเป็นระดับที่พอ สมควรและเบ็ดเสร็จในตัว ในเมื่อสังคม เปลี่ยน ไปแค่นี้จะพอมีเงินมีทองมี ทุนอยู่ก็จะช่วยให้มากที่สุดเท่า ที่จะมากได้ตาม กำลังความสามารถ ส่วน นักเรียนอีกส่วนหนึ่งนั้นเราที่ทำงาน อยู่ก็คงจะรู้จักเด็กและ เห็นได้ ชัดๆ ว่าบุคคลหรือเด็กเหล่านี้จะเป็น ด้วยสติปัญญาและการเตรียมพร้อม ตั้งแต่ เล็กมาก็ตาม ฐานะทางเศรษฐกิจหรือว่า ฐานะทางการเมืองและสังคมไม่เปิด โอกาส แน่ๆให้เขาได้ไปศึกษาต่อในระดับ มัธยมหรืออย่างน้อยในช่วงนี้ไม่ทัน การ ก็อยากจะให้อะไรกับเขาเป็นส่วน เพิ่มเติมขึ้นมาแม้อาจจะเล็กน้อย แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่ จะทำได้ คือเรื่อง ของการฝึกฝนให้กระทำอาชีพได้เป็น เรื่องปัจจุบันทันด่วน" จึงทำให้นึกถึง ว่าอยากจะได้โครงการฝึกอาชีพต่างๆให้ นักเรียนหรือศิษย์เก่าของ โรงเรียนตชด . เลือกให้ทำอะไรที่จะมีตลาดขาย ได้ทำได้หรือว่ามีคนจ้างให้ ทำ เพื่อที่จะเอาวิชานั้นมาหาเลี้ยง ชีพต่อไป..." (๗)
พระราชดำรัสข้างต้นจึงมีโครงการ ๒
พระราชดำรัสข้างต้นจึงมี โครงการ ๒โครงการเกิดขึ้นคือ โครงการนักเรียน ใน พระราชานุเคราะห์และโครงการฝึก อาชีพและในระยะเวลาต่อมา ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโครงการ อื่นๆ ขึ้นอีก เช่นโครงการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติดัง พระราชดำรัสว่า "...ต่อไปในอนาคต อาจจะมีอะไรที่สำคัญ ยิ่งขึ้นก็ได้ เช่นที่เราคิดถึงในเรื่องว่าให้ นักเรียนในบางโรงเรียน ๒-๓ โรงเรียนให้ มีการดูแลสมบัติของส่วนรวม เช่น เรื่องของ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น"ยิ่งทำงานไปก็อาจ จะมีการเปลี่ยนแปลง มีการพัฒนาอะไร ขึ้น ไปได้อีก ไม่ใช่ว่าจะมี ๓-๔ โครงการ อาจ จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ "มีข้อหนึ่งที่น่า จะติดตาม คือนักเรียนที่จบไปจากเรา แล้วนั้นน่าจะติดตาม ต่อไปว่าเขา ได้ไปทำอะไรบ้าง ในแง่ที่ว่าเป็น ศิษย์เก่าของเรา ถ้ามีปัญหาอะไรเดือด ร้อนเราก็อาจจะช่วยเหลือได้ หรือเขา ไปทำอะไร ส่วนใหญ่เรียนต่อแล้วปฏิบัติ หน้าที่อะไร ปฏิบัติอาชีพอะไร กระทำตัวอย่างไรก็ เป็นเรื่องที่น่ารู้ เพื่อเป็นแนวทางใน การพัฒนาวิธีการ ทำงานของเราต่อไป... " (๗)
จากการดำเนินงานโครงการพระราชดำริ
จากการดำเนินงานโครงการพระราชดำริโดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ ด้วยการทดลองทำโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันเพียง ๑ โครงการ ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ๓ โรง โครงการตามพระราชดำริก็ได้ขยายและมีการพัฒนาขึ้นเป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน มีโครงการทั้งสิ้น ๗ โครงการ และครอบคลุมโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนใน ๓๕ จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศทั้งหมด ๑๖๘ โรง ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน นอกจากนี้โครงการตามพระราชดำริต่างๆ ยังมีส่วนชักนำให้ ส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ เป็นการก่อ ให้เกิดรูปแบบการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ
แหล่งอ้างอิง สำนักงานโครงการส่วนพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี( ๓) (ท๑ ส๖๕๒ ๒๕๓๗)